วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รีวิวลิปบาล์มอเมริกาที่ซื้อตามกระแส

ลิปบาล์มพวกนี้ผลิตที่อเมริกา และราคาย่อมเยาว์(ในอเมริกา) จัดอยู่ในลิสต์ยอดฮิตในบ้านเรา ที่ต้องหามาลองให้ได้ ขาดตัวนึงคือ Burt’s bee เนื่องจากผู้เขียนยังไม่อยากซื้อลิปมาสะสมอีก มันจะเยอะเกิน
1. Carmex
รู้สึกถึงริมฝีปากที่ยังคงความชุ่มฉ่ำตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ปากนุ่มเหมือนหมักเนื้อ ปากไม่แห้งแตกเลย และอยู่ได้นานมาก กลิ่นเหมือนร้านขายยา ทาแล้วเย็นปากเล็กน้อย ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากๆ ครั้งแรกซื้อแบบหลอด (10 g) มา เห็นแพคเกจรู้สึกถูกใจ มันดูโหดเหมือนหลอดกาวเลย หลังๆ บีบแล้วชอบออกมามากเกิน แบบกระปุก (7.5 g) จะใช้ง่ายกว่า ถ้าไม่อยากสั่งในเน็ต เท่าที่รู้ก็มีขายใน Tops ใต้ Robinson บางรัก มีให้เลือกมากมาย
ซื้ออีกไหม ตอนนี้ซื้อกลิ่นเชอรี่ SPF 15 เก็บไว้แล้ว
2. eos

จุดสำคัญที่ซื้อมาเพราะมันเป็นลิป organic และไม่มี petrolatum เค้าว่ากันว่ากลิ่นมันหอม และรสหวานด้วย ซื้อสีเขียวอ่อน honeydew honeysuckle มา แกะออกมากลิ่นเหมือนยางลบเลย แฟนบอกว่ากลิ่นเหมือนแอร์รถยนต์ สรุปกลิ่นนี้ไม่ผ่าน แล้วเราก็ไม่ได้ซื้อลิปมาเลียกิน อาจเป็นเพราะมันไม่ได้ใส่ petrolatum ทำให้ทาแล้วปากด้านๆ เหมือนไม่ได้ทา ไม่มีความชุ่มฉ่ำ  ความรู้สึกเหมือน NIVEA หลายๆ ตัวที่เคยใช้ ต้องทาซ้ำบ่อยๆ มันจะเคลือบปากบางๆ เหมาะแก่การทาแล้วไปกินข้าว
ซื้ออีกไหม ไม่ นอกจากจะได้ราคาอเมริกา
3. Smith’s Mocha Rose Lip Balm
ปริมาณเยอะถึง 22 g คิดว่า 2 ปีก็คงใช้ไม่หมดถ้าไม่ได้อยู่ในที่หนาวๆ เห็นเค้านิยมทาส่วนอื่นๆในร่างกายด้วย ลิปบาล์มอยู่ใน tin package ดูคลาสสิคมาก สีสันสดใสเหมือนกระปุกขนมหวานมากกว่าลิปซะอีก ยังไม่ได้เปิดฝาก็ได้กลิ่นช็อคโกแลตแล้ว กลิ่นหวานสุดๆ  ชวนให้นึกถึงทอฟฟี่สมัยเด็ก ทาแล้วปากชุ่มฉ่ำดีมากพอๆ กับ carmex แต่ไม่เย็น สำหรับกลิ่น Mocha Rose นี้ราคาในห้าง up to 400  THB หาซื้อในเน็ตเจอตั้งแต่ 250 THB
ซื้ออีกไหม สนใจลองกลิ่นอื่นบ้างเหมือนกัน

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หัวหิน เมืองเนรมิต

ขณะนี้คือช่วงปลายปีแห่งการท่องเที่ยว นี่เป็นการมาเยือนหัวหินครั้งแรก ผู้เขียนได้ที่พักฟรี 1 คืนจากบริษัทของคู่หู ที่โฮมสเตย์แบบบ้านๆ ริมทะเล เท่าที่ค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวหัวหินจากในเน็ต รู้สึกไม่ใคร่อยากจะไปที่ไหนเป็นพิเศษเลย
ต่อไปนี้เป็นรายการสถานที่ที่ผู้เขียนกับคู่หูไปตามกระแสเค้า

1. โฮมสเตย์ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว ติดหาดหัวหิน
วันนี้ฟ้าครึ้มอากาศหนาวตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ บ่ายๆ ตอนไปถึง น้ำทะเลสูงมาก และค่อยๆ ลดลง คลื่นแรง ลมแรง มองไม่เห็นหาดทราย มีเพียงขอบสูงๆ กั้นไว้ ภาพคนขี่ม้า และเล่นน้ำจากในเน็ตสลายวับไปกับตา เห็นรีสอร์ท โรงแรมเรียงเป็นแถบตามยาว มันค่อนข้างจะสร้างติดกับทะเลมาก แทบมองไม่เห็นหาดเลยในวันที่คลื่นแรงๆ อย่างนี้ นึกแล้วสงสารหาดทราย มีทั้งบันไดซีเมนต์ ที่กั้นคลื่น อะไรไม่รู้เต็มไปหมด


2. ตลาดน้ำหัวหินตอนหาข้อมูลในเน็ต เราไม่รู้มาก่อนว่าพอไปถึง มันจะไม่มีป้าย แถมยังร้างสนิท ด้วยความที่ไม่มีผู้คนมาให้รกสายตา มันเลยดึงดูดให้เราสละเวลาเดินเล่นอยู่ในนั้น



จินตนาการว่าไวรัสซอมบี้เพิ่งมาลงที่นี่ไปหมาดๆ เลยเป็นเมืองร้างที่ยังหลงเหลือร่องรอยของความวุ่นวายอยู่



น้ำที่เป็นสีเขียวไข่กาดูแปลกตาสำหรับเรา เราถ่ายรูปกันอยู่พักใหญ่ก่อนเดินทางไปจุดหมายต่อไป

3. ตลาดน้ำสามพันนาม
ถัดมาใกล้ๆ จากตลาดน้ำร้างคือตลาดน้ำสามพันนามที่มีทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติมากมาย มันเป็นบ่อที่ถูกขุดขึ้นมาจำลองให้เป็นตลาดน้ำ



ใช้เวลาเดินไม่นานก็ครบรอบเพราะสำหรับเรานั้นไม่มีอะไรน่าดึงดูดและเป็นเอกลักษณ์นัก ของขายมีตั้งแต่พวกของที่ระลึกและของฝากที่พบเห็นได้ทั่วไปและมีราคาแพงกว่าปกติ ไปจนถึงของที่มักพบตามตลาดนัด ร้านซีดีเถื่อนก็ยังมี



เราค่อนข้างผิดหวังกับที่นี่ อาหารมีน้อยมาก(แต่อาหารปลามีขายทุกมุมเลย) เดินวนรอบบ่อแปบเดียวก็สุดแล้ว



4. สถานีรถไฟหัวหินทีแรกเราต้องการไปเขาหินเหล็กไฟ แต่โครงการก็พับไปซะก่อน เลยแวะมาที่นี่ น่าเสียดายที่ห้องสมุดรถไฟปิดในวันนั้น



เรานั่งกินขนมปังอยู่สักพัก มองสถานี นึกถึงสถานที่ต่างๆ ยิ่งตระหนักว่าหัวหินนี่ช่างเป็นเมืองที่ร่ำรวย และดูดีในแบบของเค้า  จากการที่เห็นสิ่งก่อสร้างเฟคๆ ทั้งหลายทั้งแหล่ข้างทางที่พยายามดึงดูดผู้คน มันสวยสะดุดตาในครั้งแรก แต่ยิ่งมองยิ่งว่างเปล่า



5. พระราชนิเวศน์มฤคทายวันสายวันนี้อากาศร้อน และแดดแรงมาก ถ้าเช่าจักรยานมาปั่นชมรอบบริเวณจะดีกว่า เพราะรอบๆ ค่อนข้างกว้างและไม่มีร่มเงา



ที่นี่เคยเป็นที่ประทับของ ร.6 ทั้งหญิงและชายควรจะใส่กางเกงที่ยาวเลยเข่ามาชมวัง ไม่อย่างนั้นจะต้องเดินใส่ผ้าถุง เราเสียค่าเข้า และค่าชมวังต่างหาก และห้ามถ่ายรูปบนวัง



6. เพลินวานเราไม่ได้สังเกตเลยว่าขับรถผ่านเพลินวานแล้ว ทางเข้าแฝงตัวได้เนียนไปกับเมืองได้ขนาดนี้เล่นเอาต้องวนรถกลับมาอีก ด้านในมีการตกแต่งแบบจัดเต็มจนดูเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง



เรานึกถึงหนังจีนสมัยก่อน ผสมกับงานวัด ขนมถังเต็มเป็นสิ่งหนึ่งที่ชอบในนี้ มันคือลูกผสมระหว่างขนมเบื้องกับขนมถังแตก ที่นี่มีหลายไส้ให้เลือก วางบนครีมแบบขนมเบื้องที่หอมกลิ่นดอกนมแมว(สังเคราะห์) ที่ไม่เคยได้กลิ่นมานานแล้วความหอมหวานยังคงติดปากแม้จะกินหมดไปนานแล้ว



ของขายหลากหลายถูกใจวัยรุ่นมากกว่าตลาดสามพันนาม ราคาแพงพอๆ กัน ชั้นสองน่าเดินกว่าชั้นล่างสุด (ส่วนชั้นสามเป็นห้องพักที่แพงมาก)  พื้นที่ไม่กว้างนัก เพลินแก่การเดินเที่ยวครั้งแรก ถ้าให้มาครั้งที่สองคงขอลา



สรุปคือที่นี่มีสถานที่ขึ้นชื่ออยู่ไม่ไกลกันมาก วันนึงสามารถไปเที่ยวได้หลากหลายที่ เหมาะแก่เวลาที่จำกัดอย่างเสาร์ไป อาทิตย์กลับกรุงเทพฯ ชีสเชดมีขายแทบทุกที่ เมืองจำลอง ศูนย์การค้า สวนสนุกดูจะเป็นจุดขาย เหมาะแก่การถ่ายรูปและหาไอเดียทางสถาปัตยกรรม ซึ่งไม่ใช่สไตล์ผู้เขียนที่ชอบความเป็นธรรมชาติ ถ้าให้เลือก ก็คงไม่มาอีก

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ฟันของเราไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด

คุณเคยฝันว่าฟันคลอน หรือหลุดไปบ้างไหม ฉันเป็นคนนึงที่ฝันบ่อยมาก มันสมจริงซะจนไม่รู้ว่าเป็นแค่ความฝัน เล่นเอาจิตตกมากๆ เหมือนมันเป็นวันมหาวิปโยคของโลกเลยทีเดียว

นึกภาพดูสิ พอคุณตื่นขึ้นมาก็ยิ้มร่า ดีใจมากที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ก็อยู่เฉยๆ ฟันคุณจะหลุดได้ยังไงกันล่ะ ฝันไปเถอะ

แต่ฟันของฉันมันไม่รักกันแล้วน่ะสิคะ ขนาดก็ใหญ่โต ที่ก็คับแคบแออัด แต่ละซี่ยิ่งไม่ถูกชะตากันไปใหญ่ ต่างก็หันหน้าไปคนละทิศละทาง เกี่ยงงานกันทำอีก ด้านซ้ายอ่อนแอกว่าหน่อย แถมยังถูกด้านขวาโยนงานให้บดเคี้ยวบ่อยๆ อีก

ฟันกรามด้านซ้ายเสียวง่ายกว่าเพื่อนแต่ฉันก็ยังนิ่งนอนใจ ด้วยวัยแค่นี้ฟันมันคงไม่เป็นไรมากหรอก ฉันคิดอย่างนั้น

จนกระทั่ง ใกล้ความฝันมากขึ้นทุกที ทั้งสมจริงทั้งเจ็บปวด ถ้าฉันเคี้ยวอะไรแข็งๆ ด้านซ้ายจะรู้สึกเจ็บทันที ฉันล่ะเกลียดพ่อค้าแม่ค้ามักง่ายที่ชอบซื้อกระเทียมเจียวสำเร็จรูปแข็งๆ มาใส่อาหารซะจริงๆ พักหลังฉันเลือกกินมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้คิดจะไปหาหมอฟัน

และแล้ววันหนึ่งความฝันก็เป็นจริง ขณะฉันกำลังเคี้ยวมื้อเที่ยงอยู่ ก็ได้ยินเสียงกร็อบดังสนั่นหัว เหมือนกับไปเคี้ยวกระดูกเข้า ความเจ็บปวดหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ฉันใช้ลิ้นคลำหาของแข็งอันนั้นในปาก แต่ก็ไม่พบ ฉันค่อยๆ เคี้ยวอาหารทั้งหมดที่เหลือในปากด้วยฟันอีกข้างอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ไม่เจอของแข็งนั่นเลย

หลังจากนั้นฉันก็เคี้ยวอะไรด้วยข้างซ้ายอีกไม่ได้เลย มันปวดมากๆ ฉันมีลางสังหรณ์ว่ามันจะไม่กลับมาเหมือนเดิม 2-3 วันผ่านไปก็ยังเหมือนเดิม ฉันจึงวางแผนไปตรวจที่คลินิค

พอไปตรวจก็พบว่าฟันแตกแบบผ่ากลางเลยอาการหนักเกินเยียวยา ต้องถอนอย่างเดียว พระเจ้า ฉันยังไม่ทันแก่ รู้สึกช็อคและยังทำใจไม่ได้ จู่ๆ ก็ต้องเสียทั้งฟัน และเงินในกระเป๋า

ฉันใช้เวลาทำใจอยู่นานนับสัปดาห์จนกระทั่งเริ่มปวดฟันบ่อยขึ้น แม้ยังไม่ได้เคี้ยวอยู่ แต่ความปวดก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนหัวจะระเบิด เหมือนเป็นหงอคงที่โดนพระถังซัมจังทำโทษ 2 ครั้งด้วยกัน ยาพาราสิริรวม 2 เม็ด ฉันตัดสินใจลาจากฟันกรามน้อยซี่นั้น

วินาทีนั้นฉันร้องไห้น้ำตาท่วมด้วยความรู้สึกโศกเศร้าสิ้นหวังในชีวิต

ฉันมีปัญหากับฟันมาตั้งนานแล้ว ตอนเด็กๆฉันไม่เคยไปหาหมอฟันเลย ฟันน้ำนมก็ใช้ลิ้นดันให้มันหลุดเอง บางครั้งพ่อก็ใช้คีมถอนออกให้ พอเริ่มโตก็สังเกตว่าฟันเบียดกันแน่นเต็มปาก ต่างก็เกออกคนละทาง ที่หนักๆ คือฟันหน้าที่ยื่นเลยเพื่อนออกมา ทำให้ปากดูไม่เท่ากัน
พอไปขูดหินปูน หมอเห็นฟันเรียงตัวแปลกๆ หมอเลยส่งตัวไปเอ็กซเรย์ แล้วเจอฟันคุดซ่อนอยู่เพียบเลยตั้งแต่ ม ต้น หมอทั้งห้องนี่เข้ามาดูฟิล์มกันใหญ่เลย พูดอะไรกันก็ไม่รู้ที่เราไม่เข้าใจ แต่คำที่เราได้ยินบ่อยมาก คือ Impact ฟันคุดของฉันถูกผ่าออกข้างนึงในปีแรกหมอนัดมาถอนอีกข้างปีหน้า เพราะกลัวฉันรับไม่ไหว รู้สึกว่าหมอมือหนักมากเลยค่ะ ทรมานมากๆ เลย เจ็บทั้งระหว่างถอนและหลังถอน กินอาหารไม่ได้ 2-3 สัปดาห์
ปีต่อมาฉันไปผ่าอีกข้าง หมอมือเบามาก ไม่เจ็บเลยค่ะ หลังผ่าเสร็จแทบจะกินอะไรอ่อนๆ ได้ทันที

พูดถึงการถอนฟันครั้งนี้บ้าง ปัจจุบันฉันอยู่ กทม ไม่ได้อยู่บ้านเกิดที่มีสิทธิประกันสุขภาพที่นั่น แต่ฉันยอมเสียเงินเข้าคลินิค เพื่อแลกกับความสบายตัว และสบายใจที่ไม่ต้องผ่านระบบ รพ ลาดกระบัง (ที่ใกล้ที่สุด แต่ไม่น่าเข้าเลยสักนิด)

ฉันไม่เคยถอนฟันมาก่อน และฟันข้างนี้ก็มีปัญหาด้วยเลยทำให้กลัวเจ็บมากๆ แต่หมอสาวของที่นี่ก็พูดให้เราสบายใจขึ้น ไม่บ่นเรื่องปัญหาในปากเราเหมือนตอนเราไปขูดหินปูนแถวบ้าน หมอมือเบามากเลยค่ะ รู้สึกว่ายาชาเดี๋ยวนี้มันดีขึ้นเยอะกว่าตอนผ่าฟันคุด (ตอนนั้นเคยสงสัยว่าเค้าฉีดยาชาเราไปรึยังวะ)

ผ่านไปหลายชั่วโมงยังชาปากอยู่เลย แอบเป็นสาวกยาชาเข้าซะแล้ว ถ้ามีให้เสพทุกวันคงจะดี

ขณะนี้ฉันดึงผ้าก๊อซออกแล้ว ยังมีรสชาติของเลือดในปากบ้าง คิดว่าเหงือกเปลือยๆเป็นอะไรที่ชวนช็อคแล้วช็อคอีก แต่รากฟันกรามหลายๆ ซี่ที่เหลือ มันละลายจนเกินเยียวยายิ่งทำให้ช็อคเข้าไปใหญ่ ไม่อยากนึกเลยว่าอนาคตฟันของฉันจะเป็นยังไง

ฉันอิจฉาคนที่ขากรรไกรใหญ่เพียงพอกับฟัน และคนที่ฟันเรียงตัวสวย ฉันจะขอดีใจด้วยมากถ้าคุณดูแลฟันดีๆ

ถ้าฉันย้อนเวลาได้ฉันคงจะต้องรู้จักประมาณความสามารถมันด้วย เพราะฟันเราไม่ได้มีไว้เคี้ยวทุกอย่างเหมือนอย่างที่ฉันเคยสวาปาม ฉันคงจะถอนฟันน้ำนมแบบคนปกติเค้า ไม่กัดปลายดินสอเพื่อเอายางลบออกมา ที่แน่ๆ ฉันยังหาช่วงเวลาในอดีตที่จะจัดฟันไม่ได้จริงๆ ด้วยความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน ตอนนี้ฉันทำได้เพียงแค่กินของเหลวเท่านั้น

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Review : เปลี่ยนสีผมเองด้วย Caring Smoothie Shake no.7 หัวสวย ใช้ง่าย ไม่แพ้

นั้วเป็นคนมีผมสีดำเข้มมาก ไม่เคยยืดผม หรือทำมิดีมิร้ายอะไรกับผมมาก่อน
จนกระทั่งหน้าร้อนที่ผ่านมา นั้วทำสีมันด้วย Smoothie Shake XL no.5 สีบลอนด์ประกายเงินอมเขียว

ระหว่างทำสีผมจะค่อนข้างเลอะเทอะ น้ำยาไหลตกลงพื้นได้ตลอด
ผลออกมาสีผมดูไม่ต่างจากเดิมเลย ต้องผ่านไปหลายเดือนจึงจะเริ่มสังเกตเห็นสีผมจางลงเป็นสีน้ำตาล เคยเห็นคนรีวิวว่าโฟมมักติดไม่ทน ทีแรกนึกว่าสีจะหลุดซะอีก สุดท้ายผมส่วนที่ย้อมไปก็ไม่กลับมาเป็นสีดำอีกเลย


ผ่านไปครึ่งปี ถ้ามองดีๆ จะเห็นสีผมต่างกัน ระหว่างดำเข้ม กับน้ำตาลเข้ม พอต้นเดือนธันวา นั้วก็ตัดสินใจปัดฝุ่น Smoothie Shake no.7 สีบลอนด์อ่อนมากที่เคยซื้อมาเก็บไว้เนิ่นนาน ในใจก็กล้าๆ กลัวๆ ว่ามันจะเล่นงานหัวเราไหม   อุตส่าห์ซื้อสีนี้มาทั้งที่ ถ้าไม่ใส่ผง Bleaching ที่แถมมาด้วย (เฉพาะไอ้นี่เท่านั้น) ก็เสียดายของ 


สุดท้ายนั้วก็ใส่มันทั้งหมดลงไปในกระป๋องเชค ระหว่างปฏิบัติการรู้สึกพอใจมากๆ โฟมที่เราเขย่าเกาะติดหัวดีมาก ไม่ไหลตกเยิ้ม อาจเป็นเพราะมันเป็นไซส์เล็ก และผมนั้วก็ยาวกว่าคราวก่อนเยอะ ไม่รู้สึกแสบหรือคันหนังศีรษะเลย
พอครบ 30 นาที ล้างน้ำออก เห็นความเปลี่ยนแปลงของสีผมชัดเจน


พอผ่านไปหนึ่งวันถึงสระผมอีกครั้ง ผมเป็นสีน้ำตาลอมส้ม ดูแล้วไม่แรงจนเกินไป เวลาเขียนคิ้วก็สบายด้วย เพราะมีดินสอสีน้ำตาลอยู่แล้ว ไม่ต้องเลือกซื้อสีอื่นอีก


ถือว่าโอเคเลยทีเดียว สำหรับโฟมเปลี่ยนสีผม Smoothie Shake no.7 สีบลอนด์อ่อนมาก ราคาแถวบ้าน 159 บาท ทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน แม้ผมยาวสีเข้มมาก แค่กระป๋องเดียวเอาอยู่ ได้ผมสีอ่อนกว่าที่คิด สีกระจายสม่ำเมอ ไม่แพ้ด้วย 

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทริปกินซีฟู้ด ที่คลองโคลน สมุทรสงคราม ของเด็กเพิ่งเรียนจบ

ทริปนี้ประกอบด้วยฉันกับเพื่อนซี้ที่ชื่อมีมี่  มีมี่เป็นคนขับรถ นี่เป็นครั้งแรกที่เราออกจาก กทม ไปจ สมุทรสงคราม
มันเป็นวันเสาร์ เวลากลางวัน ที่รถติดมาก ๆ พอออกจาก กทม หนทางก็ยังดูน่าเบื่อ ภูมิทัศน์แห้ง ๆ แดดแรงไร้ร่มเงา เต็มไปด้วยฝุ่น
ทางเข้าที่หมายในคลองโคลนลึกพอสมควร เราตั้งใจจะกินอาหารทะเลที่ ร้านเกษร คลองโคลน หลังจากได้ยินกิตติศัพท์ทางอินเตอร์เน็ต
เราไปถึงตอนบ่ายแก่ ๆ มันเป็นร้านอาหารหน้าตาบ้าน ๆ กว่าที่คิด บรรยากาศสบาย ๆ เราเลือกที่นั่งริมน้ำ ซึ่งเป็นแค่คลองเล็ก ๆ ส่วนใหญ่เราจะก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวโดยไม่สนใจดูรอบข้างเลย
เราอยากลองอาหารหลายอย่างมาก แต่มีกันแค่ 2 คน ก้อเกรงว่าจะกินไม่ไหว สุดท้ายอาหารก็เสิร์ฟไม่ครบ หายไป 2 อย่าง
เราก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร ขอสรุปมื้อนี้เลยละกัน
1. ปูไข่ทะเลนึ่ง เป็นเมนูเด่นของที่นี่ ราคาแพงที่สุด ควรลองอย่างน้อยสักครั้ง เรากับมีมี่ 2 คนกินจานเล็ก (ครึ่งกิโล) 600 บาท จานใหญ่ 1 กิโล 800 บาท ประมาณเย็น ๆ คนที่เพิ่งมาถึง จะอดกินปูไข่ เหลือแต่ปูเนื้อเท่านั้น
2. ฉันถูกก้ามปูบาดนิ้ว เลือดไหล ขณะที่มีมี่แกะปูรัว ๆ เผลอแป๊บเดียว เปลือกปูกองเป็นภูเขาเลย
3. ฉันอดกินหมึกผัดกะปิ มีมี่อดกินไข่เจียวกุ้ง ร้านกลัวว่าเราสองคนจะกินไม่หมดรึไงนะ
4. นั่งไปสักพัก แมลงวันมาเป็นฝูง มันจะชอบตอมปูมาก
5. ราคาย่อมเยาว์ดี สมกับหน้าตา และปริมาณ แต่รสชาติมันเป็นเรื่องของแต่ละคนเนอะ ค่อยว่ากันต่อ
เมนูที่ฉันตั้งใจมากินเป็นอย่างมาก …

หอยหลอดผัดฉ่า ยิ่งกินเข้าไปยิ่งรู้สึกว่าเครื่องมันไม่อร่อย หนักทางหวานเกินไป เหมือนน้ำเชื่อมเลย รสของกระเทียมเจียวฉุนมาก จนไม่รู้สึกว่านี่คือผัดฉ่า ฉันนึกเสียดายหอยหลอด รูปร่างอวบ ๆ เต่งตึง ดูมีชีวิตชีวาของมัน นอนสงบนิ่ง เหมือนยอมสิโรราบให้กับความทารุณของคนทำอาหาร
เมนูถัดมา ยำชะครามหมึก
ฉันไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วมันคือยำหอมเจียวรึเปล่า ร้านนี้มันยิ่งตอกย้ำให้ฉันเกลียดอะไรเจียว ๆ มาก ทั้งแข็ง และกลิ่นฉุน หลังจากพยายามเขี่ยหอมเจียวทิ้ง ฉันก็สัมผัสถึงรสชาติหวานอมเปรี้ยวของน้ำยำในใบชะครามนุ่มลิ้น
เมนูต่อมา ปลาทูราดพริกขี้หนู
ปริมาณจุใจมาก ทั้งปลาทู 4 ตัว ทั้งเครื่อง นี่ก็เป็นเมนูที่ใส่กระเทียมเจียวมากเกินพอดี เหมือนใส่มาให้ทิ้งเลย
เมนูทั้งหมด น่าจะยอดเยี่ยมมาก ถ้าไม่มีอะไรเจียว ๆ ล้นจนเกินไป น่าเสียดายจริง ๆ สุดท้าย ปูคือเมนูเดียวที่ไม่ใส่ขยะลงไป น้ำจิ้มเค้าอร่อยมากด้วย
มื้อนี้เป็นเงินทั้งสิ้น 1041 บาท รวมข้าว 2 จาน และน้ำเปล่า 1 ขวด ความอิ่มอยู่ในระดับดีมาก ความพอใจในรสชาติมีดรอปลงบ้าง
กว่าจะกินเสร็จก็มืดค่ำแล้ว เราเดินทางต่ออีกไม่ไกลก็ถึงบ้านคลองโคลนรีสอร์ท สถานที่ ๆ รุ่นน้องปี 3 จัดค่าย ภาพก็ไม่ค่อยได้ถ่ายเลย เพราะกล้องถ่ายในที่มืดไม่ดี พอประมาณ 1 ทุ่มก้อนั่งกินอาหารทะเลอีก เรียกได้ว่ากินต่อเนื่องเลยทีเดียว นั่งกินสักพักก็ท้องเสีย ลุกไปเข้าห้องน้ำอีก 2 รอบ ห้องน้ำก็ไกลมากด้วย ต้องเดินผ่านสะพานไม้แคบ ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะก้าวพลาดตกน้ำเมื่อไหร่
ปีนี้สถานที่จัดค่ายฉีกแนวไปจากปีอื่น ๆ ที่เคยอยู่ริมทะเล มีลมพัดสะใจ แต่ที่นี่เป็นรีสอร์ทเล็ก ๆ มีจุดเด่นตรงที่มีพื้นที่น้ำโคลน ให้ประกอบกิจกรรมค่าย และทางเดินสะพานไม้น่ารัก ๆ ค่ำคืนนี้ไม่ค่อยมีลมโชย บรรยากาศรอบ ๆ เหมือนทุ่งนาตอนปล่อยน้ำ รอบ ๆ รีสอร์ทเปลี่ยวมาก ยังมีแขกคนอื่น ๆ นอกจากเด็กของเราพักอยู่ด้วย สักพักก้อไม่มีอะไรให้เราค้นหาอีก เราไม่ดื่มด่ำกับมันมากนัก หลังจากกิจกรรมบายศรี เราสองคนเลยกลับกรุงเทพทันทีโดยไม่ลังเล ในขณะที่เพื่อน ๆ นอนค้างต่ออีกคืน

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

Now is good มองให้มากกว่าหนังรักเรียกน้ำตา



การใช้ชีวิตนั้นสำหรับหลายคนก็เป็นเหมือนการเดินบนหนทางอีกยาวไกล ขณะที่คนอีกส่วนหนึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างหวงแหนเพราะพวกเขาตระหนักอยู่เสมอกับเวลาที่เหลือน้อยเต็มที อย่างการตักตวงความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันของเทสซ่า สาวน้อยผู้นับถอยหลังสู่วันที่จะจากไปด้วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว เห็นได้ชัดว่าเธอเตรียมใจกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น อย่างปล่อยวาง ขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งความฝัน เธอทำตามสิ่งที่ใจปรารถนาตามแบบฉบับวัยรุ่นอเมริกันที่กำลังสดใส เห็นได้จากการที่เธอแอบบันทึกรายการสิ่งที่ต้องทำก่อนตายไว้บนผนังห้องนอน (ซึ่งพ่อของเธอต้องอึ้งเมื่อได้เห็นเข้า)

เธอมีพ่อที่ทุ่มเทเวลาและแรงใจ เพื่อจะดูแลเธอให้ถึงที่สุด ด้วยความหวังว่าเธอจะมีชีวิตอยู่กับเขาไปนานๆ ถึงแม้จะไม่ถูกใจวัยรุ่นอย่างเธอตามประสาพ่อที่ห่วงและหวงลูกสาว แต่สุดท้ายทั้งสองก็เข้าใจกันและกัน และพ่อของเธอก็ต้องยอมรับความจริง



ความเห็นของพ่อเมื่อเทสพาเด็กหนุ่มข้างบ้านมาทำความรู้จัก
Father: It's a terrible day in a man's life when his daughter brings a boy home. I always thought if I killed the first one, word would get around.
----------------------------------------------------------------------------------------
เทสกล่าวกับพ่อตอนที่อยากให้พ่อกลับไปทำงานอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ต้องคอยดูแลเธออีกแล้ว
Tessa Scott: You're going to have a life again.
Father: I never had a life. I was an accountant.

เธอยังมีคาล น้องชายตัวน้อยวัยกำลังสดใสร่าเริงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน เหมือนเป็นตัวแทนของความไร้เดียงสาที่ยังไม่ประสีประสากับวัฏจักรความทุกข์โศกบนโลกนี้ เขาสร้างสีสันด้วยประโยคเด็ดๆ ได้ตลอด เช่น

Cal: When Tessa dies, can we go on a holiday?
 ---------------------------------------------------------------------------------------
Cal: Will I still be your brother when you're dead?
Tessa Scott: I'll still be around.
----------------------------------------------------------------------------------------
ฉากที่ทุกคนในครอบครัวต้องบอกลาเทสที่นอนนิ่งบนเตียง ไม่รู้จะตลกดีรึเปล่า ถึงจะเป็นสิ่งที่เด็กคิดแต่ก็ทำให้หลั่งน้ำตาได้เหมือนกัน
Mother: You should say goodbye, Cal.
Cal: No.
Mother: Come on, love, it's important.
Cal: It might make her die.
 ----------------------------------------------------------------------------------------
Cal: Bye Tess. Haunt me if you like. I don't mind.

ดูเหมือนเทสซ่าจะมองคาลด้วยความเอ็นดูเสมอ ณ ช่วงเวลานั้นเชื่อว่าเธอคงรู้สึกเสียดายที่จะไม่มีโอกาสได้เห็นน้องชายของเธอเติบโตขึ้นไม่น้อยไปกว่าเสียดายที่จะไม่มีโอกาสได้เห็นเพื่อนสาวคลอดลูก



เธอมีแม่ที่เริ่มกลับเข้ามาใช้ชีวิตอยู่พร้อมหน้ากันในครอบครัวมากขึ้นหลังจากที่เคยแยกทางกับพ่อไป เธอมีเพื่อนสาวคนสนิทที่มักทำอะไรคึกคะนองด้วยกัน



นอกจากนี้เธอยังมีเด็กหนุ่มข้างบ้านที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ดูเหมือนเขาได้เข้ามาต่อลมหายใจที่เหลืออยู่ให้ดูมีชีวิตชีวา เธอได้มองสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างสดใสมากขึ้นที่ได้รู้สึกเหมือนเป็นวัยรุ่นตามปกติ ได้มีความรัก ได้มีแฟนหนุ่ม แม้ว่ามันจะทำให้เธอคาดหวังลึกๆว่าจะได้เห็นวันต่อไป แต่สุดท้ายเธอก็พยายามปล่อยมันไปอย่างที่เธอได้บอกกับเขาก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยว่า

 ฉันจะกลับมาในฐานะคนอื่น เป็นสาวผมยุ่งๆที่เดินเข้ามาถามว่าเรียนอะไร” (แล้วหนุ่มข้างบ้านก็ตอบว่า  “ฉันจะตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบอีกครั้ง”)
ในช่วงท้ายๆของชีวิต เขายังนอนอยู่เคียงข้างเธอด้วย (ดีนะที่บ้านอยู่ข้างๆกัน ถ้านี่เป็นหนังเกาหลีคงต้องตั้งชื่อเรื่องว่า ยัยใกล้ตาย กับนายข้างบ้าน ซะแล้ว)



สำหรับเรื่อง Now is good เป็นหนังแนวดราม่า โรแมนซ์ ที่นำเสนอเรื่องราวของครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน และความรักหนุ่มสาว ที่ผสานรวมกันเบาๆ ไม่หนักหน่วงจนเกินไป สุดท้ายมันก็บอกกับเราอย่างเรียบง่ายว่า ชีวิตนี้ก็คือปัจจุบัน สุดท้ายก็ต้องปล่อยมันไป อย่างที่เทสต้องประสบ ตามที่เธอได้พูดสิ่งที่เธอเข้าใจในชีวิตไว้ว่า 

“Moments, our life is a series of moments, each one a journey to the end. Let them go, let them all go, our life is a series of moments. Let them go, moments, all gathering toward this one.”

จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ชะตากรรมของตัวเองเหมือนอย่างเทส แต่เราก็คงไม่ประมาทที่จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ เพราะเห็นว่ามันยังไม่ใช่วันสุดท้ายของชีวิตใช่ไหมล่ะ

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

เจ้าแมวผู้อยู่มาล้านชาติ (THE CAT WHO LIVED A MILLION LIVES)

The Cat who lived a million lives
A Story by Yōko Sano

ยังมีแมวตัวหนึ่งที่ได้ใช้ชีวิตมาล้านชาติ
เขาตายมาล้านครั้ง และเกิดใหม่มาล้านหน
เขามีขนคลุมที่โดดเด่นเฉกเช่นเสือ เขาเป็นแมวที่น่าประทับใจนัก
ผู้คนเป็นล้านรักเขาในความเป็นแมวของเขา และผู้คนเป็นล้านได้ร่ำไห้ให้เขายามเมื่อเขาตาย
แต่เจ้าแมวตัวนี้ไม่เคยได้หลั่งน้ำตาเลยสักหยด
ครั้งหนึ่ง เขาเป็นแมวของพระราชา เขาไม่ชอบพระราชาเลย
พระราชาอยู่ในสงครามตลอดเวลา พระองค์เอาเจ้าแมวใส่กรงที่เลิศหรู และนำเจ้าแมวไปสนามรบด้วย วันหนึ่งเจ้าแมวถูกยิงโดยลูกธนูที่หลงมา
พระราชาอุ้มเจ้าแมว ร่ำไห้อยู่ในสมรภูมิ
พระราชาไม่มีอารมณ์ทำสงครามอีกต่อไป
พระองค์กลับไปยังปราสาท ที่ซึ่งพระองค์ฝังแมวไว้ในสวน
ครั้งหนึ่ง เจ้าแมวถูกเลี้ยงดูโดยกะลาสีเรือ เขาไม่ชอบทะเลเลย
กะลาสีเรือได้ท่องเที่ยวรอบโลกไปกับเจ้าแมว
วันหนึ่ง เจ้าแมวตกจากเรือลงไปในน้ำ เจ้าแมวว่ายน้ำไม่เป็น และเขาจมน้ำ ครั้นกะลาสีเรืออุ้มร่างเปียก ๆ ของเจ้าแมวไว้ในอ้อมแขน กะลาสีเรือก้อร้องไห้เสียงดัง
กะลาสีเรือฝังเจ้าแมวไว้ในสวนสาธารณะของเมืองห่างออกไปจากทะเล
ครั้งหนึ่ง เจ้าแมวถูกเลี้ยงดูโดยนักมายากลคณะละครสัตว์ เขาไม่ชอบละครสัตว์เลย
นักมายากลใส่เจ้าแมวลงไปในกล่องทุกวัน จากนั้นก้อผ่าครึ่งกล่อง เมื่อเอาเจ้าแมวที่ไม่ได้รับอันตรายออกมา ผู้ชมต่างก้อปรบมือให้ วันหนึ่ง นักมายากลพลาดไปตัดครึ่งเจ้าแมว
ครั้นนักมายากลคว้าชิ้นส่วนสองท่อนของเจ้าแมวมาไว้ในมือทั้งคู่ เขาก้อระเบิดน้ำตาออกมา ไม่มีใครปรบมือให้
เจ้าแมวถูกฝังในสนามหลังคณะละครสัตว์
ครั้งหนึ่ง เจ้าแมวถูกเลี้ยงดูโดยหัวขโมย เขาไม่ชอบหัวขโมยเลย
หัวขโมยมักจะเอาเจ้าแมวไปด้วย พวกเขาเดินไปในถนนยามค่ำคืน หัวขโมยเดินเงียบกริบ เหมือนแมว
หัวขโมยบุกเข้าไปในบ้านที่มีเหล่าสุนัข และตู้นิรภัย พอสุนัขเห่าเจ้าแมว ขโมยก้อถือโอกาสเปิดตู้นิรภัยของครอบครัวนั้น วันหนึ่ง เจ้าแมวถูกฆ่าโดยสุนัข
หัวขโมยประคองเพชร และร่างไร้วิญญาณของเจ้าแมว เดินไปในถนนมืด ร่ำไห้
เจ้าแมวถูกฝังในสนามเล็ก ๆ ของหัวขโมย
ครั้งหนึ่ง เจ้าแมวถูกเลี้ยงดูโดยหญิงชราขี้เหงา เขาไม่ชอบสตรีสูงวัยเลย
หญิงชราวางแมวไว้บนตักเธอ มองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็ก นั่งอย่างนั้นทั้งวัน
เจ้าแมวทอดตัวลงบนตักหญิงชราทั้งวัน นอนหลับ และงีบ
ในที่สุด เจ้าแมวก้อได้แก่ลง แก่ลง แล้วเขาก้อตาย
หญิงชราผู้เหี่ยวย่นประคองเจ้าแมวผู้เหี่ยวย่นในอ้อมแขนของเธอ คร่ำครวญทั้งวัน
เจ้าแมวถูกฝังใต้ต้นไม้แก่ ๆ ในสนาม
ครั้งหนึ่ง เจ้าแมวถูกเลี้ยงดูโดยเด็กหญิง เขาไม่ชอบเด็กหญิงเลย
เด็กหญิงมักจะจับเจ้าแมวมาวางไว้บนหลังของเธอ หรือกอดแมวไว้แน่นยามเธอหลับ เมื่อเธอร้องไห้ เธอจะร้องไห้บนหลังของเจ้าแมว
วันหนึ่ง เด็กหญิงจับเจ้าแมวมาไว้บนหลังของเธออีก สายรัดพันรอบคอเจ้าแมวโดยไม่คาดฝัน และเจ้าแมวถูกรัดคอตาย
เด็กหญิงประคองร่างปวกเปียกของเจ้าแมว ร้องไห้ทั้งวัน
ท้ายที่สุด เธอฝังเจ้าแมวใต้ต้นไม้ในสวน

อย่างไรก้อตาม เจ้าแมวไม่ได้ใส่ใจกับการตายของตัวเองมากนัก

มีอยู่หนหนึ่ง เจ้าแมวไม่ได้ถูกเลี้ยงดูโดยใครทั้งสิ้น
เขาเป็นแมวป่า
เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นเจ้านายตัวเอง
เจ้าแมวชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้มากที่สุด
เขาได้เป็นแมวลายที่สวยงาม
แน่นอนตอนนี้เขากลายมาเป็นแมวป่าที่แข็งแรงมาก
แมวสาวทั้งหมดล้วนอยากแต่งงานกับเขา
บ้างก้อนำปลาตัวโตมาให้เขา
บ้างก้อนำหนูที่ดีที่สุดมาให้เขา
บ้างก้อนำของขวัญเลอค่ามาให้เขา
และบ้างก้อเลียหูเขา
เจ้าแมวพูดขึ้นว่า
“ฉันตายมาแล้วล้านรอบ ใครจะมาเทียบเคียงกับฉันได้”
เขายังคงชื่นชอบตัวเขาเองมากที่สุด
ยังมีแมวสีขาวที่งดงาม เธอไม่ได้มองเจ้าแมวเลย
เจ้าแมวเดินไปยังแมวสีขาว เขากล่าวว่า “ฉันตายมาล้านรอบเชียวนะ !”
แมวสีขาวตอบเพียงแค่ “อ้าว เหรอ”
เจ้าแมวโกรธเล็กน้อย เพราะเขาชื่นชอบตัวเขาเองมากนัก
วันต่อมา และวันที่สาม เจ้าแมวเดินไปหาแมวสีขาว เขากล่าวว่า “เธอยังไม่เคยใช้ชีวิตหนึ่งชีวิตจนจบถูกไหม”
แมวสีขาวยังคงตอบเรียบ ๆ “โอ้”
วันหนึ่ง เจ้าแมวเดินไปอยู่เบื้องหน้าแมวสีขาว เขาตีลังกาในอากาศสามตลบ และพูดว่า “ฉันเคยเป็นแมวคณะละครสัตว์ !”
แมวสีขาวยังคงตอบเรียบ ๆ “แล้วไง”
“ฉันอยู่มาล้าน…” ในท่อนกลางประโยค เจ้าแมวเปลี่ยนไปถามว่า “ฉันขออยู่เคียงข้างเธอได้ไหม”
แมวสีขาวพูดว่า “ตกลง”
ตั้งแต่นั้นมา เจ้าแมวก้อได้อยู่เคียงข้างแมวสีขาว
เมื่อเวลาผ่านไปแมวสีขาวได้ให้กำเนิดลูกแมวน่ารักมากมาย
เจ้าแมวไม่ได้เอ่ยมานานแล้วว่า “ฉันมีชีวิตมาแล้วล้านครั้ง…”
เขาชื่นชอบแมวสีขาว และเหล่าลูกแมวมากที่สุด มากกว่าชอบตัวเขาเองเสียอีก
ในที่สุดลูกแมวทั้งหมดก้อได้เติบโตขึ้น ทยอยทิ้งพวกเขาไป
“ลูกแมวเหล่านี้จะต้องกลายไปเป็นแมวป่าที่น่าทึ่งมาก !” เจ้าแมวกล่าวอย่างพึงพอใจ
“ใช่”  แมวสีขาวพูดน้ำเสียงแผ่วเบา
แมวสีขาวเหมือนสตรีสูงวัยมากขึ้น และมากขึ้น
เจ้าแมวกลายเป็นอ่อนโยนมากขึ้น และมากขึ้น
เขายังครางเสียงแผ่วเบาจากลำคอของเขาอีกด้วย เขาปรารถนาที่จะอยู่กับแมวสีขาวด้วยกันตลอดไป
วันหนึ่ง แมวสีขาวนอนอยู่เคียงข้างเจ้าแมว
ไม่ไหวติง และเงียบสงบ

เจ้าแมวร่ำร้อง เป็นครั้งแรกในล้านชาติของเขา
เขาร้องไห้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า เขาร้องไห้ล้านหน ล่วงเลยไปวันแล้ววันเล่า
ในเที่ยงวันหนึ่ง เจ้าแมวหยุดร้องไห้ เขานอนอยู่เคียงข้างแมวสีขาว เงียบสงบ และไม่ไหวติง

เจ้าแมวไม่เคยจุติอีกเลย

หมายเหตุ-ผู้จัดทำบล็อกแปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษชื่อเรื่องว่า ” The Cat who lived a million lives” ใครทำไว้ก้อไม่ทราบเหมือนกันค่ะ

เดิมมาจากหนังสือเรื่อง “Hyakumankai Ikita Neko” ผู้แต่งคือ โยโกะ ซาโนะ (ค.ศ. 1938 – 2010) เป็นนักเขียนหนังสือภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น หากแปลตามตัวเป็นภาษาไทยคือ แมวน้อยอายุล้านปี
ผู้แปลฉบับภาษาไทยคือ พรอนงค์ นิยมค้า ในชื่อเรื่องว่า“แมวน้อย 100 หมื่นชาติ
เรื่องนี้ได้รับการตีความอย่างกว้างขวางในแวดวงคนรักหนังสือภาพในเมืองไทย และเป็นหนังสือในดวงใจของผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย
หลายคนมองว่าเป็นหนังสือเชิงปรัชญา บ้างก็ว่าเป็นหนังสือเล่าเรื่องความรักได้อ่อนโยนที่สุดเล่มหนึ่ง
และอีกหลายคนมองว่า เป็นหนังสือว่าด้วยเรื่องครอบครัว (อ้างอิงจากวรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโต – สสส.)