การใช้ชีวิตนั้นสำหรับหลายคนก็เป็นเหมือนการเดินบนหนทางอีกยาวไกล ขณะที่คนอีกส่วนหนึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างหวงแหนเพราะพวกเขาตระหนักอยู่เสมอกับเวลาที่เหลือน้อยเต็มที อย่างการตักตวงความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันของเทสซ่า สาวน้อยผู้นับถอยหลังสู่วันที่จะจากไปด้วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว เห็นได้ชัดว่าเธอเตรียมใจกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น อย่างปล่อยวาง ขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งความฝัน เธอทำตามสิ่งที่ใจปรารถนาตามแบบฉบับวัยรุ่นอเมริกันที่กำลังสดใส เห็นได้จากการที่เธอแอบบันทึกรายการสิ่งที่ต้องทำก่อนตายไว้บนผนังห้องนอน (ซึ่งพ่อของเธอต้องอึ้งเมื่อได้เห็นเข้า)
เธอมีพ่อที่ทุ่มเทเวลาและแรงใจ เพื่อจะดูแลเธอให้ถึงที่สุด
ด้วยความหวังว่าเธอจะมีชีวิตอยู่กับเขาไปนานๆ ถึงแม้จะไม่ถูกใจวัยรุ่นอย่างเธอตามประสาพ่อที่ห่วงและหวงลูกสาว
แต่สุดท้ายทั้งสองก็เข้าใจกันและกัน และพ่อของเธอก็ต้องยอมรับความจริง
ความเห็นของพ่อเมื่อเทสพาเด็กหนุ่มข้างบ้านมาทำความรู้จัก
Father: It's a terrible day
in a man's life when his daughter brings a boy home. I always thought if I
killed the first one, word would get around.
----------------------------------------------------------------------------------------
เทสกล่าวกับพ่อตอนที่อยากให้พ่อกลับไปทำงานอีกครั้ง
หลังจากที่ไม่ต้องคอยดูแลเธออีกแล้ว
Tessa Scott: You're going to
have a life again.
Father: I never had a life.
I was an accountant.
เธอยังมีคาล น้องชายตัวน้อยวัยกำลังสดใสร่าเริงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
เหมือนเป็นตัวแทนของความไร้เดียงสาที่ยังไม่ประสีประสากับวัฏจักรความทุกข์โศกบนโลกนี้ เขาสร้างสีสันด้วยประโยคเด็ดๆ ได้ตลอด เช่น
Cal: When Tessa dies, can we
go on a holiday?
Cal: Will I still be your
brother when you're dead?
Tessa Scott: I'll still be
around.
----------------------------------------------------------------------------------------
ฉากที่ทุกคนในครอบครัวต้องบอกลาเทสที่นอนนิ่งบนเตียง
ไม่รู้จะตลกดีรึเปล่า ถึงจะเป็นสิ่งที่เด็กคิดแต่ก็ทำให้หลั่งน้ำตาได้เหมือนกัน
Mother: You should say
goodbye, Cal.
Cal: No.
Mother: Come on, love, it's
important.
Cal: It might make her die.
Cal: Bye Tess. Haunt me if
you like. I don't mind.
ดูเหมือนเทสซ่าจะมองคาลด้วยความเอ็นดูเสมอ ณ
ช่วงเวลานั้นเชื่อว่าเธอคงรู้สึกเสียดายที่จะไม่มีโอกาสได้เห็นน้องชายของเธอเติบโตขึ้นไม่น้อยไปกว่าเสียดายที่จะไม่มีโอกาสได้เห็นเพื่อนสาวคลอดลูก
เธอมีแม่ที่เริ่มกลับเข้ามาใช้ชีวิตอยู่พร้อมหน้ากันในครอบครัวมากขึ้นหลังจากที่เคยแยกทางกับพ่อไป
เธอมีเพื่อนสาวคนสนิทที่มักทำอะไรคึกคะนองด้วยกัน
นอกจากนี้เธอยังมีเด็กหนุ่มข้างบ้านที่เพิ่งรู้จักกัน
แต่ดูเหมือนเขาได้เข้ามาต่อลมหายใจที่เหลืออยู่ให้ดูมีชีวิตชีวา เธอได้มองสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างสดใสมากขึ้นที่ได้รู้สึกเหมือนเป็นวัยรุ่นตามปกติ
ได้มีความรัก ได้มีแฟนหนุ่ม แม้ว่ามันจะทำให้เธอคาดหวังลึกๆว่าจะได้เห็นวันต่อไป แต่สุดท้ายเธอก็พยายามปล่อยมันไปอย่างที่เธอได้บอกกับเขาก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยว่า
“ฉันจะกลับมาในฐานะคนอื่น
เป็นสาวผมยุ่งๆที่เดินเข้ามาถามว่าเรียนอะไร” (แล้วหนุ่มข้างบ้านก็ตอบว่า “ฉันจะตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบอีกครั้ง”)
ในช่วงท้ายๆของชีวิต
เขายังนอนอยู่เคียงข้างเธอด้วย (ดีนะที่บ้านอยู่ข้างๆกัน ถ้านี่เป็นหนังเกาหลีคงต้องตั้งชื่อเรื่องว่า
ยัยใกล้ตาย กับนายข้างบ้าน ซะแล้ว)
สำหรับเรื่อง Now is good เป็นหนังแนวดราม่า โรแมนซ์ ที่นำเสนอเรื่องราวของครอบครัว
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน และความรักหนุ่มสาว ที่ผสานรวมกันเบาๆ ไม่หนักหน่วงจนเกินไป
สุดท้ายมันก็บอกกับเราอย่างเรียบง่ายว่า ชีวิตนี้ก็คือปัจจุบัน
สุดท้ายก็ต้องปล่อยมันไป อย่างที่เทสต้องประสบ ตามที่เธอได้พูดสิ่งที่เธอเข้าใจในชีวิตไว้ว่า
“Moments, our life is a series of moments, each one a journey to the end. Let them go, let them all go, our life is a series of moments. Let them go, moments, all gathering toward this one.”
จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ชะตากรรมของตัวเองเหมือนอย่างเทส แต่เราก็คงไม่ประมาทที่จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ เพราะเห็นว่ามันยังไม่ใช่วันสุดท้ายของชีวิตใช่ไหมล่ะ