วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เด็กบ้านทุ่งสู่เมืองกรุงในวันที่รถติดมากที่สุดในรอบปี

 

เนื่องด้วยเมื่อวานเป็นศุกร์สุดท้ายของปี เพิ่งสอบเสร็จไปเมื่อวาน เจ้าของบล็อกกับเพื่อนสาวมีแผนจะไปถ่ายรูปชุดครุยแถวๆเซนลาดเพื่อรีบส่งแจ้งจบต้นปีหน้า จำต้องรีบไปวันนี้เพราะกลัวพรุ่งนี้ร้านปิด แต่รถตู้ไม่ผ่านเลยต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน เข้าไปผจญข้างใน กทม ที่เหม็นกลิ่นควันรถ เพื่อเดินทางไปร้าน Photomania แถว มธ ท่าพระจันทร์ ที่ search เจอเมื่อคืน ที่เลือกเพราะร้านนี้มีบริการส่งรูปทาง EMS ไม่ต้องไปรับด้วยตัวเองจ้ะ

พอถึงอนุสาวรีย์ก้อไม่รู้จะหารถไป มธ ได้ที่ฝั่งไหน ก้อได้ลุงพนักงานประจำป้อมช่วยให้ข้อมูลว่าต้องไปขึ้นสาย 503 ที่ฝั่ง Center One

เจ้าของบล็อกรอรถเมล์อยู่นาน ก้อนึกว่าจะไม่ใช่แล้วซะอีก ในที่สุดก้อได้ขึ้น ในรถโล่งมาก คนละ 15 บาท นั่งไกลเหมือนกัน แล้วก้อมาลงที่ตรงข้ามสนามหลวง

 

เราสองคนไม่รู้จะไป มธ ยังไงดี ตอนแรกกะจะนั่งแท็กซี่ แต่แท็กซี่ที่มีจอดอยู่น้อยนิดก้อหายไปหมดแล้วหลังจากเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เพื่อหาแท็กซี่ แต่สุดท้ายพบว่าข้างหน้าไม่มีแล้ว

เราสังเกตว่าแถวนี้รถตุ๊กๆวนเวียนอยู่เยอะจัง ลังเลว่าจะขึ้นดีไหม เพราะคิดว่าราคาคงแพงมากแน่ๆ ในที่สุดก้อกระโดดขึ้นตุ๊กๆ หลังจากไปถามทางเค้า เค้าบอกว่าใกล้นิดเดียวเดินข้ามไปสักหน่อยก้อถึงแล้ว เราไม่มั่นใจว่าจะไปเองจะหลงทางไหม เค้าบอกว่าถ้านั่งไปก้อ 30 บาท

  

นับว่าเป็นการนั่งตุ๊กๆครั้งที่สอง รู้สึกเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวเลย เจ้าของบล็อกนึกถึงปี 54 สมัยยังเป็นเด็กปี 2 ต้องจากบ้านไกล มาหมอชิตเพื่อเดินทางกลับ ม ที่องครักษ์ฝ่าน้ำท่วมอย่างยากลำบาก รถหายากมาก รุ่นพี่ที่มาส่งเลยพานั่งตุ๊กๆไปต่อรถตู้ที่อนุสาวรีย์

 

กลับเข้าเรื่องปัจจุบัน เท่าที่โทรถามข้อมูลจากเพื่อนที่เคยไป Photomania เค้าบอกว่าอยู่ตรงข้ามศูนย์หนังสือ มธ ข้างในเป็นดงขายของเล็กๆ เดินหามึนๆ ดูไม่ออกเลยว่ามีร้านถ่ายรูปอยู่แถวนั้น ร้านเล็กและแคบมากจริงๆ  ป้ายข้างบนเป็นป้ายร้านขนมปัง แถมยังมีแผงลอยบดบังอีก (เพราะยังมึนๆ เลยลืมแชะภาพบรรยากาศช่วงถึงร้าน Photomania)

ทุกอย่างผ่านไปไวเหมือนพายุ ถ่ายรูปเสร็จเดินลงบันไดมาแบบงงๆเหมือนหลงมิติ พบคนกำลังทำขนมปังกันอย่างคร่ำเคร่ง มันกลายเป็นร้านทำขนมปังไปตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะ!!??!?

เพื่อนสาวเจ้าของบล็อกได้สติ หมุนลูกบิดประตูที่อยู่ข้างๆ ในที่สุดก้อได้เดินออกทางที่เคยเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย

เราสองคนเดินข้ามสนามหลวงมารอรถไปรังสิตใต้ต้นมะขาม ด้านตรงข้ามเป็นทางที่เคยขึ้นตุ๊กๆ แถวที่ยืนอยู่บรรยากาศเกาหลีมากๆจ้ะ รอรถเมล์อยู่นานมาก แชะกันเองหลายรูป

แชะจนเบื่อ ในที่สุดก้อได้นั่งอีกครั้ง เป็นการนั่งที่ยาวนานมากที่สุดเท่าที่เคยนั่งรถเมล์มา รถที่มาถึงไม่ใช่ 503 อย่างที่ตั้งใจ แต่เป็น 59 ที่ไปรังสิตได้เหมือนกัน เราได้ตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งยาวให้ถึงรังสิตเลยไม่อยากต่อรถอีกแล้ว การจราจรติดขัดมาก

เราหิวมากเพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ตอนสาย หิวจนวางแผนจะกินโออิชิบุฟเฟต์กัน แต่สุดท้ายถึงรังสิตช้ากว่าที่คิด เลยล้มเลิกแผน พอมีเวลาเดินช้อปของลดราคาใน Big C อยู่บ้าง รีบกลับออกมาที่คิวรถตู้ มศว องครักษ์ตอนเกือบ 2 ทุ่ม พบว่าได้นั่งคันสุดท้ายพอดี รอไม่นานรถก้อออกเลย เห้อออ รอดไปได้นะทริปนี้ อดแวะเที่ยวอย่างที่เคยตั้งใจไว้จนได้ รุสึกใช้เวลากับการเดินทางมากกว่าทำกิจกรรมซะอีก

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มศว องครักษ์ ตอนที่ 1 Chill out

 

…ณ ดินแดนแห่งห้วยหนองคลองบึงนับไม่ถ้วน

ในฐานะที่เรียนที่นี่เป็นเทอมสุดท้ายแล้ว ก้อขอบันทึกเรื่องราวต่างๆ เล็กน้อยไว้เป็นความทรงจำ สาเหตุที่ตอนที่ 1 ชื่อว่า Chill out ก้อคงเป็นเพราะอยากให้ได้อารมณ์เดินเล่นสบายๆ ยามเย็น ตลอดการเดินทางแบบทริปเล็กๆ ไม่ไกลกันมากนัก

ตอนเข้ามาปี 1 ใหม่ๆ หลายคนอาจเคยนั่งรถกะป๊อไปเรียนบ่อยๆ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 6 คัน วิ่งเฉพาะจันทร์-ศุกร์ จะเริ่มจอดรับนิสิตตั้งแต่หอพักใน ต้องซื้อคูปองเที่ยวละ 3 บาท/คน (ยกเว้นวันรับปริญญานั่งฟรี เน้นให้นิสิตปี 1 ไปบูมพี่บัณฑิตเอาตังค์เข้าคณะ) แต่ถ้าคุณเดินกลับหอหลังวิ่งตอนเช้าเสร็จ พอดีกับที่รถจะออกจากท่า ที่ตึกอำนวยการไปยังหอพักใน ก้อขอติดไปด้วยได้ฟรีๆ

หากเดินต่อมาไปทางข้างหน้า ม จะเป็นวงเวียน แหล่งเหล่หนุ่มเหล่สาวที่มาวิ่งออกกำลังกายกันตอนเย็น วิ่งกันบนถนนเลยจ้า บรรยากาศสบายๆ มีเพลงให้ฟัง บางครั้งดีเจก้อส่งเสียงน่ารำคาญบ้าง สมัยก่อน วิ่งไปก้อหวิดโดนรถโดนจักรยานเสยตูด เดี๋ยวนี้เค้ามีไพลอนกั้นให้แล้ว แต่เจ้าของบล็อกไม่วิ่งวงเวียน เพราะกลัวรองเท้าวิ่งที่กลั้นน้ำตาซื้อจะสึกไว

เดินเลยวงเวียนไปอีกหน่อยจะมีเรือนไทยที่ปกติไม่เคยเปิดให้ขึ้นไปชมเลย มีครั้งนึงในงานลอยกระทงให้ขึ้นไปเดินได้ น่าเสียดายกล้องมือถือถ่ายรูปกลางคืนกาก ถ่ายตัวเองซะยังจะดีกว่า ที่น่าตกใจคือมีโพวนเวียนอยู่แถวนั้นด้วย ถ้าคุณโชคดี อาจถ่ายรูปติดมันมา

เดินไปตรงริมน้ำ จะเห็นหอพระที่มองได้จากมุมนี้ คุณสามารถปล่อยปลาและนั่งสมาธิกับชมรมสมาธิทุกวันจันทร์เริ่มประมาณ 5 โมง อย่าลืมทาซอฟเฟลอันเป็นของดีขึ้นชื่อประจำ ม ที่นิสิตทุกคนย่อมต้องเคยใช้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งตลอดเวลาที่เรียนที่นี่ จะช่วยให้คุณรอดพ้นจากฝูงยุงงี่เง่าได้มากพอสมควร

อีกโซนถัดไปหลังเรือนไทย เป็นริมน้ำอันแสนอบอุ่น ที่เต็มไปด้วยห่านและเป็ดฝูงใหญ่ ส่งเสียงแข่งกันระงม โดยเฉพาะตอนที่มีคนอยู่ใกล้ๆ มันจะคึกคักเป็นพิเศษ ร้องจนแก้วหูแทบแตก เค้าเพิ่งเอามาเลี้ยงที่นี่ตอนปีการศึกษา 2556 บริเวณนี้นอกจากจะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของเด็กหอแล้ว ยังมีนิสิตชายแอบเดินข้ามคอกมาชู้ตห่านเป็นว่าเล่น

เมื่อคุณเดินไปอีกฟากของวงเวียน ผ่านโซนของคณะพละที่กินพื้นที่มากมาย คุณจะเจอสนามกีฬากลาง ซึ่งอยู่สุดขอบ ม  เหมาะกับผู้ที่เน้นการวิ่งเพื่อสุขภาพ เพราะพื้นสนามถนอมเข่าและรองเท้ามากกว่าวงเวียน แต่ก้อต้องเสี่ยงกับลูกบอลที่เล่นกันอยู่กลางสนามทุกเย็น มีหนุ่มสาวให้เหล่น้อยกว่า เจ้าของบล็อกมักวิ่งที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฟิตเนสที่เคยโปรดปราน ระบบการจัดการมันแย่ลง

ขอจบตอนที่ 1 ด้วยภาพดอกบัวจากสระแห่งหนึ่ง (ในบรรดาหลายๆสระ) แถวๆ วงเวียน

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แวะทำกล่องฉายแสง UV ให้ลายวงจรแผ่นทองแดง

มินิโปรเจคนี้ทำร่วมกับน้องมีมี่ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการกัดแผ่นลายวงจรด้วยวิธีใหม่สำหรับกัดลายให้โปรเจค โดยวิธีนี้จะใช้ดรายฟิล์มวาดลาย ซึ่งทำให้เส้นคมชัด มีความแม่นยำกว่าใช้เตารีด ฮ่าๆๆๆ  แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนฮาร์ดแวร์ และส่วนซอฟท์แวร์

จากกล่องใส่ของธรรมดานำมาใส่หลอด UV และไมโครคอนโทรลเลอร์ เราก้อจะได้ กล่องสำหรับฉายแสง UV สามารถตั้งเวลาควบคุมการเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ เคลื่อนย้ายสะดวก ตั้งชื่อให้มันว่า UV Exposure Box  นี่เป็นรูปร่างหน้าตาของเจ้ากล่องนี้

เราจะเห็นสายไฟสองเส้น เส้นนึงคือปลั๊กเสียบไฟบ้าน อีกเส้นคือสาย USB-RS232 เอาไว้ต่อกับคอมพิวเตอร์

ส่วนประกอบคร่าวๆ ใต้ฝากล่อง ประกอบด้วย
หลอด UV ขนาด 10 Watt ราคา 50 บาท จาก ร้านค้าหลอดไฟข้าง KFC ที่คลองถม
รางเหล็กประกอบหลอด
หม้อแปลงจากกองขยะ
บอร์ดเรกูเลเตอร์(เอาของรุ่นพี่มา)
LDR สำหรับ Feedback Control

 

ส่วนบนฝากล่องประกอบด้วยอุปกรณ์คร่าวๆดังนี้
ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC 18F452 ของเหลือจากรุ่นพี่ที่ไปค้นมาในกองของเก่า
บอร์ด Relay
บอร์ดแปลง USART จากไมโครคอนโทรลเลอร์เป็น RS232 อันนี้ทำเองจากโปรเจคตอนปี 2

การใช้งานอันดับเเรกนั้น อย่าลืมเสียบไฟบ้านเข้ากับเครื่องก่อน (ไฟ 220 Volt ระวังอย่าสัมผัสโดน Terminal Block บนเครื่องถ้าไม่อยากโดนดูดนะจ้ะ) จะมีสวิตซ์ ON สำหรับเปิดเครื่อง

จากนั้นเราต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางสาย USB-RS232 เพื่อให้เราสามารถติดต่อเครื่องได้โดยผ่านโปรแกรมผู้ช่วยของเรา

เท่านี้ก้อพร้อมใช้งานแล้วสำหรับเจ้ากล่องใบนี้ ใส่แผ่นทองแดงที่มี Dry film ติดเรียบร้อย มีลายวงจรที่วางทับอยู่ พร้อมรับแสง UV อย่าลืมทาครีมกันแดดด้วยนะจ๊ะ

เอาล่ะ ทีนี้เราจะมาเริ่มใช้งานโปรแกรมสุดมหัศจรรย์ ในการตั้งเวลาเปิด-ปิดหลอด UV ข้างใน เผื่อออกไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง ออกกำลัง ช็อปปิ้ง ตีกอล์ฟ ตกปลา ให้อาหารหมา เป็นต้นจ้ะ เพราะเปิดทิ้งไว้นานไป Dry film จะล้างออกยาก

นี่เป็นหน้าตาโปรแกรม

อันดับเเรก เลือก Com Port แล้วกด Connect

ต่อมาเป็นการตั้งเวลาที่ต้องการให้หลอด UV ส่องสว่างภายในกล่องน้อยกลอยใจสีม่วง
โปรแกรมสามารถตั้งเวลาสิริรวมแล้วได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง 59 วินาที
แต่เวลาใช้งานจริงๆแล้ว ตั้งไว้แค่ 2 นาทีก้อพอแล้วนะจ้ะ อย่าลืมนำแผ่นทองแดงกับลายใส่เข้าไปด้วยล่ะ อื้อ

ขั้นตอนสุดท้าย กด Start ปล่อยให้เครื่องทำงานตามยถากรรม เวลาจะเริ่มนับถอยหลัง และแสดงในโปรแกรมจนสิ้นสุดกระบวนการ

คำนวณแคลอรี่จากการวิ่งและการเดิน ด้วยสูตรคำนวณอันน่าเชื่อถือจาก ACSM

เหตุใดจึงใช้วิธีคำนวณแบบ ACSM

ACSM (American College of Sport Medicine) หรือ วิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์การกีฬาอเมริกัน ได้เสนอ Metabolic Equations สำหรับ คำนวณ VO2 (Oxygen Consumption) ซึ่งทำให้สามารถทราบปริมาณพลังงานที่เสียไปจากการออกกำลังกาย โดยที่อิงจากปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายใช้ สูตรสำหรับหา VO2 ได้มาจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กีฬา ที่ต้องเก็บค่าความเร็ว ความชัน ไว้ด้วย

Metabolic Measurement

ขั้นตอนการคำนวณอย่างแรก ต้องทราบค่า VO2 หรือ Oxygen Consumption (การใช้ออกซิเจน) ซึ่งวัดได้ 2 วิธี
1. วัดทางตรง คือวัดออกซิเจนจากร่างกายโดยตรง ด้วยเครื่องมือเช่น Calorimetry อันนี้ทำได้ยาก มักใช้ในการวิจัย

 

 

2. วัดทางอ้อม ต้องทราบความเร็ว ความชัน ในระหว่างการวิ่ง หรือการเดิน วัดค่าพวกนี้ได้จากเซนเซอร์เช่น GPS และ IMU ปัจจุบันโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมักมีอุปกรณ์ดังกล่าวในเครื่อง

 

ในการวัดทางอ้อม ต้องนำค่ามาเข้าสูตรคำนวณ ซึ่งวิธีคำนวณที่จะกล่าวถึงนี้ ต้องอาศัยการวัด ความเร็ว (m/min) และความชัน (%) เพื่อนำไปเข้าสูตรคำนวณ หา Oxygen Consumption (การใช้ออกซิเจน) ในลำดับเเรก

VO2 = horizontal component + vertical component + resting component

จาก Metabolic Equations ค่าจากการเดินและการวิ่งใช้ตัวคูณที่แตกต่างกัน

The total rate of oxygen consumption during both rest and exercise

Walking:   VO2 = 0.1 (speed) + 1.8 (speed) (fractional grade) + 3.5
Running:   VO2 = 0.2 (speed) + 0.9 (speed)(fractional grade) + 3.5

VO2 คือ Oxygen Respiration มีหน่วยเป็น  ml/kg x min
Speed (m/min) คือ ค่าความเร็ว ทั้งแนวดิ่ง และแนวราบ จะใช้ค่าเดียวกัน
Fractional grade (Decimal) คือ ค่าความชันของพื้นที่ (Slope) ขณะเดินหรือวิ่ง
คิดเป็น %

หลังจากได้ค่า VO2 มาแล้ว สามารถนำมาคำนวณตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. หากต้องการทราบพลังงานแคลอรี่ที่ใช้ไปจากการออกกำลังกาย หรือ Caloric Expenditure  จะไม่รวม resting component เข้าไป ซึ่งหมายถึง

Net VO2 = VO2 max (ml/kg x min) – 3.5 (ml/kg x min)

2. เมื่อได้ปริมาตรออกซิเจนที่หายใจไปแล้ว (Net VO2) ต้องนำค่ามาแปลงหน่วยจาก ml/kg x min ให้เป็น liters/minute โดยใส่น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) เข้าไป

VO2 x Body mass/1000 = VO2  (L/min)

3. เมื่อ (Caloric Expenditure ในรูป  kcals/min) /5 = VO2  (L/min)
และ ปริมาตร O2 เป็นลิตร x 5 kcals/1 ลิตร O2 = kcals

VO2  (L/min) x 5 kcal/L O2 = kcal/min จะได้พลังงานเป็นกิโลแคลอรี่ที่ใช้ไปต่อนาที

4. หาพลังงานกิโลแคลอรี่ทั้งหมดตามจำนวนนาทีที่ออกกำลังกาย โดยการนำมาคูณกับเวลาที่ใช้ไป

kcal/min x min during exercise = kcals

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

3 วัน 2 คืน ปีสุดท้ายของค่ายรับน้องในฐานะเด็กมหา’ลัย

6 กันยายน 2556
ฉันกับมีมี่ตื่นสายเลยเวลานัด เพราะมีมี่ตั้งนาฬิกาไว้ครั้งเดียวแล้วไม่ได้ยินเสียง เพื่อนโทรมาตามหลายสาย รีบอาบน้ำ ยังไม่ได้คี่ตอนเช้า ทุกคนรอขึ้นรถที่หน้าหอ รถเป็นรถพัดลม เบาะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ปีนี้เด็กปี 3 เป็นฝ่ายจัดกิจกรรม

ที่มอเตอร์เวย์ ถนนไม่ค่อยมีรถและผู้คน ร้านก้อยังไม่ค่อยเปิด แวะเซเว่น ซื้อ Take it แบบ Dark Chocolate ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มีโปรเหลือ 12 บาทด้วย อร่อยดี



นั่งๆนอนๆ ไปจนถึงสถานที่แรกของทริป คือศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ สัตหับ ซึ่งเคยมาในทริปทัศนศึกษาตอน ม 3 รอบๆจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่บ่อ คราวนี้ไม่มีบ่อเต่าตัวโตให้จับเต่าเล่น



พอไปถึง ทุกคนก้อฟังสารคดีชีวิตเต่าทะเล ฉันเดินออกไปคี่ที่ห้องน้ำข้างนอก หวั่นๆว่าจะกดชักโครกลงไหม เพราะได้ยินเด็กประถมห้องข้างๆ พูดกับครูว่ากดไม่ลง สุดท้ายฉันก้อกดลง พอออกไปข้างนอกห้องน้ำ วิวแรกที่เห็นคือภาพนี้ เลยถ่ายมา



นี่เป็นทะเลแรกที่มาเยือนในปีนี้ ของค่ายนี้
ภารกิจของน้องๆ คือขัดบ่อเต่า ให้สะอาด ระหว่างนั้นเราก้อเดินไปๆมาๆ กับมีมี่ ไม่มีที่ให้ชมวิว หรือเดินเล่นเท่าไหร่ เพราะแดดแรง 

  

เราถ่ายภาพมุมที่คิดว่าสวยที่สุด ที่ระเบียงแถวๆนั้น จากนั้นก้อไปถ่ายรูปกับเต่าตัวโต

   

รูปเต่ามีมี่ ริมชายหาด ในวันที่แดดแรง

 

สถานที่ต่อไปคือโรงเรียนเด็กน้อยที่อยู่ละแวกนั้น เรารอน้องๆทำกิจกรรมจนหิว ไม่มีอะไรทำ นอกจากเดินไปๆมาๆ แถวๆสนามเด็กเล่น
ช่วงบ่ายไปถึงที่พัก บ้านสังข์ รีสอร์ท ได้อยู่บ้านหลังสุด มี 3 เตียง ห้องน้ำ ตู้เย็น ทีวี ในตัว


View Larger Map

คลื่นทะเลที่นี่ราบเรียบมาก แต่ชายหาดยาว เป็นส่วนตัว และสะอาดกว่าค่ายก่อนๆ



เล่นน้ำทะเลไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะไม่มีคลื่นให้กระโดดหลบหยองแหยงเอาซะเลย เลยพยายามลอยตัว 2-3 ครั้ง ไม่เป็นผลสำเร็จ เดินไปหยิบขันที่ถูกทิ้งริมหาดให้มีมี่จับแมงกะพรุนมาดูเล่นแก้เซ็ง มันมีเยอะมาก

 

เล่นน้ำเสร็จได้อาบน้ำก่อนใครในห้อง เพราะรูมเมทเพื่อนสาวทั้ง 4 เพิ่งเดินทางมาถึง ห้องแอร์เย็นฉ่ำ เป็นส่วนตัว น่านอนมาก

มื้อเย็นไปเติมกุ้ง ปลาหมึก ในหม้อเยอะมาก กินจนฟิน ไม่ได้สนใจกิจกรรมน้องๆสักเท่าไหร่
ตอนดึกๆเล่นไพ่ เพื่อนสาวสอนเล่นครั้งแรก ทั้งสลาฟ ทั้งโป๊กเกอร์ ทั้งๆที่ง่วง เล่นจนเบลอ เล่นจนหลับ

รูมเมทเพื่อนสาวๆ วางแผนจะกวนตีนสปาตันคืนนี้ เลยเล่นไพ่คอยท่า ในที่สุดก้อมีเสียงเคาะประตูห้อง ทุกคนรีบวิ่งออกไปเปิดประตู มองเห็นสปาตันกลุ่มใหญ๋ที่วิ่งหนีไม่ทัน ฮ่าๆๆๆ ฉันหลับต่อ แต่ยังได้ยินเสียงวงไพ่

7 กันยายน 2556
งัวเงียมาตื่นตอนเช้าเพื่อไปดูกิจกรรมปี 4 นำน้องปี 2 เต้นแอโรบิค พอแจกมื้อเช้าก้อรีบโทรไปปลุกให้มีมี่ตื่น ข้าวต้มอร่อยมาก อุดมด้วยกุ้ง ปลาหมึก

หลังมื้อเช้าหลายๆคนกลับไปนอนต่อ เราก้อยังเพลียๆ แต่ก้ออยากออกไปเดินเล่นที่ชายหาดอีกฝั่งที่อยู่ยาวออกไป

ตอนสายๆ ขณะน้องๆทำกิจกรรมกันอยู่ ส่วนเพื่อนๆนอนหลับในบ้านพัก เราเริ่มออกเดินทางไปยังชายหาดทางเรือประมงและเพิงที่พักชาวประมง ยิ่งเดินไปไกล หินยิ่งเยอะขึ้น จนถึงโค้ง ก้อมีหาดทรายเล็กๆโผล่มา เห็นชาวประมง 2 คน กำลังงมหาอะไรไม่รู้



ก้อนหินใหญ่ๆ ทำให้เดินไม่สะดวก โชคดีที่มีรองเท้า Crocs ที่ทั้งสีสันสดใส สบายเท้า และแข็งแรง อยู่เป็นเพื่อนตลอดทุกก้าวการเดินทาง





เราเดินไปจนสุดแหลม มองไปบนเนินเป็นรีสอร์ทดูราคาแพง โขดหินใหญ่เต็มไปหมด ลมพัดเอื่อยๆ คลื่นกระแทกหินสวยที่สุดในละแวกนี้ละ เรานั่งเคลิ้มกัน บรรยากาศพาให้สยิวกิ้วมาก มองไปอีกฟากเห็นรุ่นน้องที่ชายหาดเป็นกระจุกใหญ่ๆอยู่ไกลลิบๆ ฉันกอดมีมี่ แต่ไม่กล้าจูบ





เราเดินกลับมาทานมื้อเที่ยง หลังจากนั้นก้อดูการ์ตูน Sword Art Online ในเครื่องของมีมี่กันระหว่างที่น้องๆเข้าฐาน ตอนฐานใกล้เลิกก้อไปเดินเล่นเลียบชายหาดทางด้านซ้ายมือ มีคนจากที่อื่นเต็มไปหมด ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ฝนก้อตกปรอยๆ เริ่มรู้สึกอยากลงเล่นน้ำทะเลแล้ว เลยเดินกลับ

พอลงทะเลปุ๊บ รุสึกฟินสุดๆ สักพักก้อลอยตัวหงายได้ มีเพื่อนๆสาวมาลงเล่นด้วย เลยยิ่งสนุก สักพักเราก้อว่ายน้ำฟรีสไตล์แบบที่สระว่ายน้ำได้ได้ ตามมาด้วยกรรเชียง ว่ายบ้าง ลอยตัวบ้าง จนเริ่มล้า แต่ก้อไม่อยากเลิกเล่น ถึงคลื่นไม่แรงแต่ก้อถือว่ารุสึกดีมากๆตอนได้ว่ายน้ำเล่น อยู่ในทะเลกับเพื่อนๆสาวจน คนกลุ่มอื่นขึ้นจากน้ำกันหมด พวกเราเลยต้องขึ้นบ้าง เพื่อให้ไปอาบน้ำทันมากินดินเนอร์

ดินเนอร์ก้อมีอาหารทะเลที่ถูกใจเช่นเคย แต่โต๊ะแคบไปหน่อย อาหารทะเลย่างก้อหมดไปไวมาก ดูการแสดงของกลุ่มน้องปี 2 น้องพุชายกล้าพูด กล้าเต้นแรงๆหลายคน ช่วงรอพิธีบายศรีนานมาก รวมถึงช่วงผูกข้อมือ

จนปิดงาน คนบางตา เพราะเหนื่อยล้าต่างก้อรีบกลับไปนอน มีแจกข้าวต้มที่ยังอุ่นอยู่เล็กน้อย ข้าวเริ่มอืด เพราะมันคงรอพวกเรามานานมากแล้ว แต่ฉันก้อได้ตักกุ้งตั้ง 5 ตัว เพื่อนๆสาวรูมเมทรีบกลับห้อง  ฉันอยากกินเหล้าแต่ไม่มีเพื่อนในกลุ่มนั่งกินด้วย เลยไปเดินเล่นนอกถนนกับมีมี่ บรรยากาศสงบ อากาศดีมาก ฉันเริ่มง่วง เราแยกย้ายกันไปนอน รุสึกนอนหลับสบาย

8 กันยายน 2556
รุสึกไม่อยากตื่นเท่าไหร่ แต่มีอาหารเช้าแจกตอน 9 โมง เลยรีบตื่นไปอาบน้ำแล้วเดินไปหามีมี่ ตอนออกไปคนในห้องก้อยังไม่ตื่น คนบางตา แดดแรง นั่งกินข้าวผัดไก่ กับปาท่องโก๋ และโอวัลตินที่ผ่านการต้มในหม้อจนเดือด ฉันพยายามกระเดือกไปให้หมดทั้งแก้วอย่างยากลำบาก

กลับเก็บของที่ห้อง รู้สึกคิดถึงห้องนี้อยู่หน่อยๆ ผ้าเมื่อวานยังเปียกชื้นอยู่ เหลือเชื่อเลย ผ่านมาเเล้ว 3 วัน รู็สึกไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ เพราะปีนี้มาในฐานะรุ่นพี่ปี 4 ผู้สังเกตการณ์

นั่งรถกลับ มองข้างทาง ซื้อเพียงหมึกกะตอย 1 กิโลที่จุดแวะซื้อของฝาก
 ฝนตกแถวชลบุรี เรานอนหลับบ้าง มองข้างทางบ้าง รุสึกว่าปีนี้ใช้เวลาในค่ายรับน้องได้เยี่ยมที่สุด

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

มหากาพย์ Hardcore 4 วัน 3 คืน ออกบู๊ทที่ Centara Grand @ CentralWorld

อยากเปลี่ยนบรรยากาศ หาความตื่นเต้นบ้าง เลยรับงานเฝ้าบูทให้อาจารย์ระหว่างวันศุกร์ที่ 23 – อาทิตย์ 25 สิงหาคม 2556 ทีแรกก้อกังวลว่าจะเดินทางสะดวกมั้ยนะ จะพักกับใครดี แล้วก้อนึกถึงรูมเมทสมัยปี 1 ก้อติดต่อไป รู้สึกว่าช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ที่สนิทกันกับอดีตรูมเมท
บ่ายวันพฤหัสฉันกับมีมี่เพื่อนสาว ก้อออกเดินทางจากองครักษ์ด้วยความตื่นเต้น ต่อรถเมล์ ขึ้น BTS, MRT ลงสุดทางที่พระราม 9 แล้วไปเดินเที่ยวฟอร์จูนทาวเวอร์ กับ เซนทรัลพระราม 9 ที่อยู่ตรงข้ามกัน มีมี่ช่วยฉันถือของตลอดทั้งที่ตัวเขาเองก้อแบกหนัก อีกไม่กี่นาทีก้อต้องแยกจากกันกับมีมี่แล้ว ฉันน้ำตาไหลด้วยความห่วงหาอาลัย เราอยู่ด้วยกันมาตลอดทั้งวัน คืนนี้จะไม่ได้นอนข้างๆกันแล้ว  เพราะมีมี่ต้องขึ้นสถานีต่อไปเพื่อไปพักกับเพื่อนสมัย ม ปลายของเขา มีมี่อยู๋เป็นเพื่อนฉันรอจนกว่าสาจะขับมอเตอร์ไซด์มารับ


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
ขากลับฝนตกเรื่อยๆตลอดทาง สาพาแวะร้านส้มตำ ชีเบิ้ลส้มตำที่พริกเยอะยิ่งกว่ามะละกอ ฉันสั่งยำทะเล ทีเเรกก้อคิดว่าหล่อนจะเลี้ยง ฮ่าๆ ชีก้อถังแตกเหมือนกัน เพราะหมดเงินไปกับรองเท้าวิ่งและกระเป๋าเป้ ร้านส้มตำชาร์จค่าน้ำกะน้ำแข็งแพงโคตร
หอพักสาอยู๋แถวชานเมือง 4 เป็นห้องแคบๆ ที่มีข้าวของแน่นหาทางเดินแทบไม่ได้ พร้อมกับหมา ที่ไฮเปอร์มากๆ ชื่อกะทิ ในห้องน้ำมีภาชนะใส่อาหารที่ยังไม่ได้ล้าง กองสุมกันอยู๋ ฉันพยายามนอนหลับ เพื่อจะได้ตื่นเช้าออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น แต่กลิ่นตุๆ บนที่นอนคล้ายกลิ่นอาหารหมารวมทั้งพัดลมที่เย็นมาก ทำให้หลับไม่สบายเลย กลางดึกฉันตื่นมาคลำหาตัวปรับเกียร์พัดลมบนเพดานในความมืด แต่ก้อหาไม่เจอ ไอ้กะทิก้อตื่นมาวุ่นวายใหญ่ ขณะที่สากับพี่จู ยังคงหลับไม่รู้เรื่อง

 

ฉันตื่นเช้าก่อนนาฬิกาปลุก เดินทางคนเดียวในเมืองกรุงเพียงลำพังอีกครั้งหลังจากไม่ได้ทำมานานตั้งแต่มี*** รู้สึกตื่นเต้นมากนับตั้งแต่เดินออกจากห้องสา ขึ้นวินมอ’ ไซด์ ลง MRTสุขุมวิทย์ แวะไปฉี่ที่ Interchange รอมีมี่บน BTS อโศก นั่งไปด้วยกันสุดทางที่ BTS ชิดลม (รู้สึกจะจำชื่อยาก สับสนวุ่นวาย) เดินต่อเข้าไปเซ็นทาราแกรนด์ สถานที่จัดงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2556 ซึ่งเป็นโรงแรมในเซ็นทรัลเวิล์ด  บู๊ท มศว เรา ทำเลดีใกล้เวทีใหญ่เลย แถมเด่นสะดุดตาด้วย ทางผู้จัดงาน (วช.) เลี้ยงมื้อเที่ยงทุกวัน อร่อย จัดถาดสวย กินจนพุงกางเลย

    

ทั้งวันง่วนอยู๋กับการสาธิตการใช้แผ่นกันปลอกเข็มฉีดยา(Safety Card) บางครั้งก้อนำเสนอ SWU BOT หุ่นยนต์ทางการแพทย์ ทั้งหมดเป็นโปรเจคจบของรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ที่ทำร่วมกับอาจารย์หมอ วันนี้เด็กนักเรียน นักศึกษาเยอะ หมอกับพยาบาลสนใจ ขอตัวอย่าง Safety Card กันไปเยอะแยะ วันนี้ยืนเกือบทั้งวันเลย

 

เลิกงาน ไปเดินเล่นกันที่เซ็นทรัลเวิล์ด ลองกินข้าวหน้าแกงกะหรี่ที่ Cocoichiban ครั้งแรก รสชาติก้องั้นๆแหละ ของกึ่งสำเร็จรูป แถมชาร์จราคาอีก แต่ฉันกับมีมี่ก้อพยายามกินกิมจิในกระปุกมันเต็มที่

 

เดินเล่นกันจนขาเปื่อย ก้อขึ้นรถไฟฟ้ากลับ พอไปถึงฟอร์จูน ร้านส่วนใหญ่ก้อปิดแล้ว รอสานานมาก สุดท้ายพี่จูมารับ คืนนี้รีบหลับไว เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันเปิดงานต้องไปแต่เช้า
วันนี้สื่อมวลชนเยอะ กล้องเต็มไปหมด ต้องฉีกยิ้มถ่ายรูปหมู่บ่อยมาก มื้อเที่ยงก้อเด็ดอีกเช่นเคย มีมี่เบิ้ลด้วย หลังเลิกงานไปเดินบิ๊กซี ตรงข้ามเซ็นทรัลเวิล์ด เจอของถูกใจ แต่เสียดายตังค์เลยต้องเสียใจทีหลัง ที่ไม่ได้ซื้อไว้
กลับถึงฟอร์จูน รีบไปซื้อเมาส์ Wireless ลดราคาใน IT Ciy ก่อนที่ร้านจะปิด ดีใจมาก ลดจาก 490 เหลือ 199 พอซื้อเสร็จ เดินเข้าห้องน้ำ ออกมา ร้านก้อปิดเลย พอสามารับ กลับถึงหอ ก้อรีบเก็บของเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องออกไปแล้วไม่กลับมาอีก
วันสุดท้ายคนเยอะจริงๆ ต้องตอบคำถามที่หนักใจบ้าง ฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ๋ที่เข้ามาดูโปรเจคที่เราพรีเซนต์ บางทีก้อเอ๋อๆไปเหมือนกัน

 

บางครั้งหิวๆ ก้อไปลองชิมอาหารเหนือแจกฟรีที่บู๊ท ม ราชภัฏเชียงรายที่อยู๋ใกล้ๆกัน มื้อเที่ยงสุดท้ายวันนี้ไฮไลท์อยู่ที่สเต็กแซลม่อน จริงๆก้ออยากเบิ้ลนะ แต่กลัวไม่ไหวยิ่งใกล้เวลาเลิกงาน ยิ่งอยากกลับมากขึ้นทุกที



เลิกงานก้อต้องรีบกลับทันที ไม่มีกะใจแวะที่ไหนเลยเพราะแบกของเยอะและหนักมาก โดยเฉพาะมีมี่ ที่ไม่รู้จะขนโน๊ตบุ๊คมาด้วยทำไม เดินไกลมากเพื่อไปขึ้นรถเมล์สาย 29 พอได้ขึ้น รถก้อติด คนก้อแน่นสุดๆ ต้องยืนเบียดเสียดแทบหายใจไม่ออก กลับถึงองครักษ์แบบเหนื่อยสุดๆ